วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2561

[[วันดีๆของ ไป๋อวี่ และ เสี่ยวหลง]] - (หลงไป๋) Fanfic






//กลับมาอีกแล้ว ตั้งใจจะเขียน Drabble แต่จู่ๆมันก็ยาวขึ้นมา เป็น one short story ละกัน 55555

//คำเตอน 1 อนึ่ง มีความแฟนตาซี เป็นไปไม่ได้ อย่าคิดมากนะคะ 55555555 อ่านให้มีความสุขเนอะ

//คำเตอน 2 สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับการแสดง เราพยายามเอาสิ่งที่เราเคยเห็นมาใส่ ถ้ามันดูเกินจริงหรือตรงไหนไม่ถูกแล้วมันขัดตาก็ขออภัยจริงๆนะคะ กลัวคนอ่านเสียอารมณ์มากเลย 55555 เราไม่รู้เรื่องพวกนี้ แค่เขียนเอาตามจากที่เคยเห็น อย่าซีเรียสมากนะค้า อย่างที่บอก อ่านให้มีความสุขเนอะ เราเลยไม่พยายามใส่รายละเอียดตรงนี้มาก เอาให้กระชับที่สุดแล้วยังพอรู้เรื่องค่ะ (แต่ถ้ามีตรงไหนผิดจริงๆแล้วให้แก้ บอกนะคะ ถ้าปรับได้จะปรับ แต่ถ้าปรับไม่ได้คงตองปล่อยไป)

//เป็นฟิกสั้นใสๆ ใสมาก กาวมากเช่นกัน เขียนไปกลัวเกอหลุดคาร์มาก 555555 ซึ่งไม่รู้ว่าหลุดไหม แต่เกอในหัวเราเป็นคนประมาณนี้ 55555 ตัวจริงอาจจะนิ่งกว่าแล้วก็ขี้แกล้งกว่านี้นิดนุง 55555 แต่มันคือโมเอะพ้อยต์นี่นา 555555



------------------------------------------------------



วันดีๆของ ไป๋อวี่ และ เสี่ยวหลง







กองถ่ายของเขากำลังมีปัญหา ปัญหาใหญ่มากด้วย

นักแสดงเด็กที่ต้องเข้าฉากพรุ่งนี้เกิดป่วยกะทันหัน

แม้จะดูเป็นปัญหาที่ไม่ใหญ่นักเมื่อได้ยินครั้งแรก แต่สำหรับกองซีรี่ย์ของไป๋อวี่ที่เช่าสถานที่ที่ถ่ายทำเอาไว้ถึงพรุ่งนี้เท่านั้นแล้ว มันเป็นปัญหาใหญ่ระดับที่ส่งผลถึงความเป็นความตายของละครเลยทีเดียว

เรื่องแรกคือนักแสดงเด็ก บทที่ต้องแสดงนั้นเป็นตัวร้ายของเรื่องในตอนเด็ก ค่อนข้างยากและซับซ้อนมากจนผู้กำกับต้องเจาะจงตัวนักแสดง แม้จะโผล่มาไม่กี่ฉาก แต่ก็ต้องการการแสดงในระดับที่มีพลังพอๆกับนักแสดงผู้ใหญ่ เพราะมันคือฉากสำคัญที่เฉลยปมใหญ่ในเนื้อเรื่อง การหาตัวนักแสดงเด็กที่เก่งพอๆกับคนที่ป่วยนั้นมาแทนในเวลาค่อนคืน เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้

ถ้าถามว่าค่อยมาถ่ายแก้อีกทีได้ไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ได้ เพราะโลเคชั่นเมืองเก่าตรงนี้ถูกจองยาวไปอีกสามเดือนก่อนที่มันจะถูกปิดปรับปรุงยาวไปถึงครึ่งปี ด้วยอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนตารางการถ่ายทำจนแทบจะไม่ทันฉากสุดท้ายที่เหลือ และถ้าพวกเขาไม่สามารถถ่ายทำฉากที่ว่านั่นในวันพรุ่งนี้ได้ กำหนดการทั้งหมดเกี่ยวกับซีรี่ย์ของไป๋อวี่ก็จะถูกเลื่อนออกไป และจะมีปัญหาตามมาอีกเป็นพรวนอย่างแน่นอน

ถึงมันจะเป็นปัญหาที่ไม่แปลกประหลาดในกองถ่าย แต่ไป๋อวี่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาซวยมากไปนิดหรือเปล่า

ป่านนี้ผู้กำกับกับสต๊าฟคงแทบจะเอาเท้าก่ายหน้าผาก เพราะเขาเองก็เครียดเหมือนกัน ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ต้องส่งผลกระทบถึงตารางงานของเขาในอนาคตแน่นอนถ้าไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้

ติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ไป๋อวี่เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถืออย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่เมื่อนัยน์ตาคมคู่นั้นอ่านข้อความบนหน้าจอ ร่างผอมก็กระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาเนื้อนุ่มในห้องพักอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหมองของเขาดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อย



[อีโมจิยิ้มแป้น]

[เสี่ยวไป๋ ทานข้าวรึยัง วันนี้กินข้าวครบทุกมื้อรึเปล่า]



คำเตือนสั้นๆที่เหมือนจะตั้งเตือนเวลาส่งเอาไว้แทบทุกวันของ พี่ชาย คนสำคัญของเขาทำให้ไป๋อวี่ยิ้มกว้าง อารมณ์หนักอึ้งเพราะความอึดอัดกับปัญหาผ่อนคลายลงช้าๆ แม้จะรู้ว่าอาจจะไม่มีผลอะไร แต่ไป๋อวี่รู้สึกว่าการปรึกษากับพี่ชายของเขาอย่างน้อยก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น



(หลงเกอ ผมกินสามมื้อแล้ว แต่ตอนเย็นกินไม่ค่อยลงอ่ะ ที่กองมีปัญหา)

[ปัญหาอะไร]

(เด็กที่จะมาแสดงวันพรุ่งนี้ป่วย บทมันเด่น ผกก ไม่อยากได้คนไม่เก่ง โลก็ใช้ได้ถึงแค่พรุ่งนี้ ไม่งั้นต้องกลับมาอีกทีนู่น อีกครึ่งปีกว่านู่น กองผมเครียดมากเลย เกอว่าผมควรทำยังไง)

[นายทำใจเย็นๆก่อน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ผกก ถ้าเขาตัดสินใจยังไงก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ต้องคิดมาก ทุกคนเขาพยายามเต็มที่แล้ว นายก็ด้วย]

[อีโมจิยกนิ้ว]



เป็นคำตอบที่สมกับเป็นเกอจริงๆ ไป๋อวี่คิด รู้สึกเหมือนหินในอกถูกยกออกไปจนโล่ง ทุกครั้งที่มีปัญหา หลงเกอของเขามักจะมีคำแนะนำดีๆให้อยู่เสมอ แม้มันจะไม่ได้มีวิธีแก้ปัญหา แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองให้ได้แบบหลงเกอคงดีไม่น้อย ว่าถึงจะแก้มันไม่ได้การยอมรับมันและมองปัญหาในอีกมุมก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ไป๋อวี่จึงพิมพ์ตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง



(อือ ขอบคุณนะเกอ)

(มีมรูปจ้าวอวิ๋นหลานยิ้มแป้น)



ปกติแล้วหลงเกอไม่ใช่คนที่พิมพ์ข้อความเร็ว แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก เมื่อไป๋อวี่ไม่เห็นข้อความใหม่ทั้งที่เวลาผ่านไปสักพักทำให้เขางุนงงนิดๆ ก่อนจะประหลาดใจขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายส่งข้อความคำถามบางอย่างมาในที่สุด



[นักแสดงเด็กคนนั้น ประมาณกี่ขวบ]

เมื่อเห็นคำถามไม่มีที่มาของอีกฝ่าย แม้จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็พิมพ์ตอบกลับไป

(ประมาณแปดขวบครับ แต่ตามบทคือประมาณเจ็ดถึงสิบ)



คราวนี้หลงเกอเงียบไปอีกครั้ง แถมนานกว่าเดิมจนไป๋อวี่เริ่มพิมพ์ข้อความเพื่อถามไถ่อีกฝ่ายว่ามีอะไรหรือเปล่า พี่ชายของเขาก็ส่งข้อความกลับมาสั้นๆ และความหมายของมัน ก็ทำให้ไป๋อวี่รู้สึกมึนตึบยิ่งกว่าเดิม



[ขอเบอร์ติดต่อกองนายหน่อย]



---------------------------------------------



“ทุกคน เราได้นักแสดงเด็กแทนพรุ่งนี้แล้วนะ”

หลังจากที่ข้อความสุดท้ายของหลงเกอเงียบสนิทไปสามสิบนาทีเต็มๆ ไป๋อวี่พิมพ์อะไรไปถามเพิ่มก็ไม่มีข้อความตอบกลับ จู่ๆสต๊าฟในกองคนหนึ่งก็ส่งข้อความเข้าในกลุ่มแชทของกองถ่าย เขาตรวจเช็คข้อความและผู้ส่งซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ตัดสินใจร่วมกับผู้กำกับก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จู่ๆปัญหาก็คลี่คลายลงเรียบร้อยราวกับปาฎิหารย์ คราวนี้เขาคงจะนอนหลับเต็มตาโดยไม่ต้องกังวล แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปบอกใครอีกคนที่เขาปรึกษาด้วยจนถึงเมื่อครู่ ถึงจะยังไม่ตอบคำถามเข้ามาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนก็เถอะ



(เกอ สต๊าฟในกองติดต่อนักแสดงแทนได้แล้ว อย่างกับปาฎิหารย์เลย)

คราวนี้ ไป๋อวี่ได้คำตอบกลับมาในเวลาไม่นานนัก

[อือ ดีแล้วล่ะ นายก็รีบนอนเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า แล้วก็ดื่มน้ำสักแก้วก่อนนอนด้วย]



ประโยคเตือนที่ถูกส่งมายาวเหยียดทำให้ไป๋อวี่หุบยิ้มของตัวเองไม่ได้ เขาพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะผละจากมือถือไปทำตามสิ่งที่พี่ชายของเขาสั่งอย่างเคร่งครัด



(อือ ขอบคุณที่ให้คำปรึกษานะเกอ เกอก็ดูแลตัวเองด้วย)



-----------------------------------------------



วินาทีที่ไป๋มาถึงกองถ่ายตามกำหนดการ เขาก็เห็นอะไรบางอย่าง

ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินกันขวักไขว่ ร่างของคนแปลกหน้าคนนึงนั่งอยู่ข้างๆผู้กำกับ ทั้งสองถือบทละครในมือพลางปรึกษากันอย่างจริงจัง ภาพตรงหน้าควรจะดูเหมือนเรื่องปกติถ้าคนที่คุยกับผู้กำกับเป็นนักแสดงผู้ใหญ่ตัวโตกว่านั้นอีกสักนิด

แล้วใบหน้าหล่อเหลาเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น

นั่นมันใบหน้าของหลงเกอชัดๆ

นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ไป๋อวี่ยืนนิ่งอึ้งมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่ต่างจากผู้จัดการส่วนตัวที่ยืนค้างกับภาพตรงหน้าไม่ต่างจากเขา จนสุดท้ายสต๊าฟอีกคนที่ได้สติจึงสะกิดทั้งสองคนให้กลับสู่ความจริงตรงหน้า ผู้จัดการจึงรุนหลังไป๋อวี่ให้เข้าไปทักทายผู้กำกับ

“อ้าว มาแล้วเหรอเสี่ยวไป๋ มานี่มา เด็กคนนี้มาถึงได้สักพักแล้ว” ผู้กำกับซึ่งหันมาเห็นไป๋อวี่พอดีทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อวานตอนที่รู้ปัญหาลิบลับ

“สวัสดีครับผู้กำกับ สวัสดีหนุ่มน้อย” ไป๋อวี่เอ่ยทักทั้งสองคนอย่างสุภาพ ซึ่งเด็กน้อยตรงหน้าก็ยิ้มกว้างให้ช้าๆ แล้วเอ่ยทักทายอย่างสุภาพจนภาพของเขาซ้อนทับกับใครบางคนในความคิิดทันที

ให้ตาย เหมือนมาก เหมือนไปไหน

ทั้งหน้าตา กิริยาท่าทางเรียบร้อยมากเกินไป แม้แต่ตอนทักทายช้าๆนิ่มๆก็ยังเหมือน

นี่มันหลงเกอขนาดย่อส่วนชัดๆ

“เอเจนซี่บอกว่า เสี่ยวหลง ได้รับการแนะนำมาจากจูอี้หลงคนนั้นให้น่ะ ผู้จัดการเขาติดต่อมาทางกองของเราเองเลยนะ บอกว่าได้ข่าวมาจากนายน่ะ เสี่ยวไป๋ ให้ตายสิขอบใจมากนายนี่กว้างขวางจริงๆ” ผู้กำกับเอ่ยชมพลางตบปุลงเบาๆบนหลังของไป๋อวี่ที่ยังคงงงกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น จริงๆเขาควรจะถูกตำหนิที่เอาปัญหาของกองออกไปบอกคนนอกรึเปล่า แล้วทำไมหลงเกอไม่เห็นบอกอะไรเขาเลยล่ะว่าแนะนำเด็กมาให้ ส่งข้อความมาตอนสุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ไป๋อวี่หันไปส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามทางผู้จัดการของตน แววตาว่างเปล่าที่ไม่ต่างจากเขาทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้นเช่นกัน

“ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ ผู้กำกับ ขอบคุณเหล่าไป๋ที่ให้โอกาสนี้กับผมด้วย” เสี่ยวหลง หรือมังกรน้อยคนนั้นเอ่ยช้าๆอย่างสุภาพเกินกว่าจะเป็นเด็ก คราวนี้ผู้กำกับถึงกับหัวเราะร่าเมื่อเห็นกิริยาท่าทางนอบน้อมรู้งานของเจ้าตัว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วฉันจะรอดูนะ เป็นถึงเด็กที่จูอี้หลงคนนั้นแนะนำมา ทำให้ฉันตะลึงให้ได้ล่ะ เสี่ยวหลง ไปเตรียมตัวเถอะ”

“ครับ” เสี่ยวหลงรับคำสั้นๆพร้อมรอยยิ้มมั่นใจก่อนจะเดินแยกออกไปทางฝั่งของช่างแต่งหน้าอย่างสงบเรียบร้อย ผู้กำกับถึงกับเอ่บชมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“โฮ่ ไม่ตื่นเลย ท่าทางเด็กคนนี้จะเป็นของดีจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมากันล่ะ เสี่ยวไป๋นายรู้รึเปล่า”

อย่าถามเขาสิ! เสี่ยวหลงคนนี้พูดเรื่องอะไรเขายังไม่เข้าใจเลย

นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย!



-------------------------------------------



หลังจากไม่ได้ตอบคำถามใดๆของผู้กำกับไป๋อวี่ก็ขอแยกตัวมาเตรียมตัวเข้าฉากของตนบ้าง ในวันนี้ ฉากที่เขาต้องถ่ายมีอยู่ฉากเดียว ซึ่งเป็นฉากที่เขาต้องเผชิญหน้ากับจิตใต้สำนึกของตัวร้ายในร่างของเด็ก และเป็นฉากที่สำคัญมาก ผู้กำกับถึงแทบจะเร่งถ่ายฉากอื่นๆอย่างเอาเป็นเอาตายแบบข้ามวันข้ามคืนเพื่อให้มีเวลากับฉากสำคัญนี้มากที่สุดแม้จะมีอุปสรรคร้อยแปด เพราะการทำงานกับนักแสดงเด็กนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ถึงแม้จะยากน้อยกว่าทำงานกับสัตว์ก็ตาม

เสี่ยวหลงคนนั้นเป็นใครกันแน่

หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น เป็นญาติกันเหรอ

แต่ถึงญาติห่างๆก็ไม่น่าจะหน้าตาเหมือนกันขนาดนั้นไหม

แล้วยังท่าทางกิริยาเหมือนคุณลุงที่เป็นเอกลักษณ์ของหลงเกอก็ยังเหมือนเป๊ะ

บอกว่าเด็กคนนี้คือหลงเกอลดอายุ ยังจะน่าเชื่อซะกว่าสำหรับเขา

“เสี่ยวไป๋ แต่งตัวเสร็จรึยัง ผู้กำกับอยากให้นายไปช่วยกันดูฉากแรกของ เสี่ยวหลง คนนั้นหน่อย เขาอยากได้ความเห็นเยอะๆ ทุกคนไปกันเกือบหมดแล้ว” สต๊าฟคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถาม ไป๋อวี่ที่หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีผู้จัดการเดินตามมาด้วย ไม่นานเขาก็มายืนรวมกับบรรดาเพื่อนนักแสดงและเหล่าสต๊าฟส่วนใหญ่ที่กำลังยืนออรวมกันอยู่หน้ากล้อง

“เขานิ่งมากเลย ยังกับนักแสดงผู้ใหญ่แหนะ”

“เขาอ่านบทในคืนเดียวเองนะ ถึงมันจะน้อย แต่อารมณ์มันยากมากเลยนะ วันนี้ทั้งวันจะทันไหม ถึงมันจะมีแค่ไม่กี่ฉากก็เถอะ”

“หน้าตาเขาเหมือนจูอี้หลงสุดๆ เด็กคนนี้ไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย”

“เริ่มมาก็ฉากฆ่าเลยเหรอ คิวบู๊เลย ให้เข้าฉากปะทะกับเสี่ยวไป๋ก่อนไม่ง่ายกว่าเหรอ”

“เธอมาไม่ทันดูเขาซ้อมกันเมื่อกี้เหรอ เดี่ยวรอดูเอาเองเลยเถอะ”

คำซุบซิบเบาๆสารพัดที่ลอยผ่านหูของไป๋อวี่ทำให้เขามองไปที่ฉากตรงหน้า ร่างเล็กนั่นกำลังยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางซากศพเรียงรายซึ่งถูกเซตฉากเอาไว้ ตรงหน้าเด็กชายคือนักแสดงร่วมอีกสามคนในชุดตำรวจที่ต้องเข้าฉากด้วยกันซึ่งกำลังนัดแนะคิวการเคลื่อนไหวของแต่ละคนให้ร่างเล็กฟังอย่างรวดเร็ว โดยที่ใบหน้าของเสี่ยวหลงคนนั้นเรียบเฉย ไร้อารมณ์ใดๆ เด็กน้อยพยักหน้ารับเข้าใจทุกอย่างพลางถามแทรกบ้างเล็กน้อยในบางจุด เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที สี่ร่างที่ต้องเข้าฉากก็แยกย้ายไปประจำที่จุดของตน

“เดี่ยวขอมุมกว้างก่อน แล้วค่อยโคลสอัพ พร้อมนะ” ผู้กำกับเอ่ยตะโกนดัง ซึ่งเสี่ยวหลงและนักแสดงร่วมนั้นก็พยักหน้ารับสั้นๆ เมื่อสต๊าฟคนหนึ่งให้สัญญาณ การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้น

ร่างเล็กๆของเสี่ยวหลงยืนหันหลังให้กับตำรวจั้งสามที่กำลังส่งบทพูดของตน ไป๋อวี่ไม่ได้จับจ้องที่มอนิเตอร์ซึ่งกำลังถ่ายภาพมุมกว้างของฉากทั้งหมด แต่เอากำลังมองตรงไปที่ใบหน้าของเด็กชายซึ่งกำลังถูกบดบังด้วยผมที่ชื้นจากละอองน้ำ เขาไม่เห็นแววตาของร่างเล็ก แต่มือของเขากำลังบรรจงเช็ดทำความสะอาดมีดเล่มเล็กที่ตนถืออย่างละเอียดละออ และในวินาทีที่ตำรวจทั้งสามกำลังจะเริ่มเข้าจับกุมเด็กชายตามบท ไป๋อวี่ก็รู้สึกขนลุก

เสี่ยวหลงคนนั้นแย้มรอยยิ้มออกมาช้าๆ

ผู้คนรอบด้านเงียบสนิทเมื่อเสี่ยวหลงหันกลับหลังแล้วตวัดมีดประจำตัวตามบทของตนอย่างรวดเร็วและหนักแน่น การเคลื่อนไหวนั่นไหลลื่นและดูสวยงามราวกับนักแสดงมืออาชีพที่แสดงคิวบู๊มาแล้วหลายสิบเรื่อง ไม่มีมุมที่ตูแปลกหรือไม่ช่ำชองแม้แต่น้อย และยิ่งใบหน้างดงามของเด็กชายบัดนี้ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่เห็นได้ชัด ทำให้คนมองหวั่นสะพรึงขนลุกชันได้ตามบทอย่างยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ

สุดยอดมาก

ไป๋อวี่คิดเมื่อมองภาพตรงหน้า ฉากนี้ใช้เวลาไม่นานนัก ทว่าแต่ละคิวของมันค่อนข้างละเอียดและวุ่นวายพอตัว ทั้งยังใช้แรงค่อนข้างมาก แต่กลับไม่มีสรรพเสียงใดๆขัดจังหวะ จนกระทั่งเมื่อร่างของตำรวจคนสุดท้ายล้มลงขาดใจ ก็มีเสียงสั่งสั้นๆของผู้กำกับ

“โคลสอัพหน้า ช้าๆ”

คราวนี้ไป๋อวี่หันกลับมาจับจ้องมอนิเตอร์เหมือนกับทุกคน ใบหน้าเรียบเฉยของเด็กชายนั้น ค่อยๆแสดงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุขที่ผิดแปลก พร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงนั้นถูกเก็บภาพเอาไว้เต็มจอ แววตาที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวถูกโชว์ให้เห็นชัดเขน ก่อนเสี่ยวหลงคนนั้นจะหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง

จนกระทั่ง

“คัต! เรียบร้อย”

เสียงปรบมือที่ดังลั่นขึ้นทันทีที่สิ้นเสียงของผู้กำกับ บ่งบอกได้อย่างดีว่าภาพตรงหน้าเมื่อครู่นั้น ยอดเยี่ยมขนาดไหน เหล่าเพื่อนนักแสดงของเขาและสต๊าฟทุกคนเอ่ยชมไม่หยุดปาก มีเพียงไป๋อวี่ที่จับจ้องไปที่เสี่ยวหลงคนนั้นด้วยความตื่นตะลึง

วิธีหัวเราะแบบนั้น

นั่นมันหลงเกอชัดๆ



-----------------------------------------------------



สุดท้าย การถ่ายทำวันนี้ก็จบลงอย่างราบรื่นและรวดเร็วเกินกว่าที่ใครๆคิดเอาไว้มาก

จากปัญหาร้อยพันของวันก่อนกลับกลายมาเป็นความราบรื่นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดในวันนี้ ทำให้ผู้กำกับถึงกับยิ้มไม่หุบ อารมณ์ดีแทบทั้งวัน เขาเอ่ยชมทุกคนไม่หยุด ทำให้บรรยากาศในกองสดใสกว่าปกติ เมื่อเลิกงานก็ถึงกับจะยกพลไปทานข้าวเย็นมื้อใหญ่ปิดท้ายกัน แต่ด้วยไป๋อวี่มีงานในวันรุ่งขึ้นแต่เช้า เขาจึงสามารถหลบฉากออกมาได้อย่างหวุดหวิด

รวมถึงเสี่ยวหลงคนนั้นด้วย

ผู้จัดการของเสี่ยวหลงซึ่งไป๋อวี่และผู้จัดการของเขารู้จักดีว่าเป็นผู้จัดการของหลงเกอนั่นก็ขอหลบออกมาโดยให้เหตุผลว่าเสี่ยวหลงมีธุระด่วนแล้วเขาเองก็ว่างแค่วันนี้ ผู้กำกับขอบคุณและเอ่ยชมเด็กน้อยไม่ขาดปากที่ทำให้งานราบรื่น พลางฝากไปขอบคุณจูอี้หลงผู้เป็นคนแนะนำเขามาอีกด้วย

จังหวะที่เสี่ยวหลงกำลังจะกลับออกไป ไป๋อวี่ที่มองเห็นโอกาส จึงเดินเข้าไปหาเด็กชายด้วยความสงสัยเต็มอก

“เสี่ยวหลง เกอขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

คำขอของไป๋อวี่ทำให้เด็กชายยืนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบเขาสั้นๆในแบบที่เขาคุ้นเคยจากใครอีกคนมาก

“ผมพักที่เดียวกับเกอครับ เดี่ยวผมไปหาแล้วจะอธิบายให้ฟังนะครับ”

ไป๋อวี่พยักหน้ารับข้อเสนอนั่นอย่างง่ายดายเพราะมันสะดวกกว่าการยืนคุยตรงนี้มากกว่า เขาพยักหน้าให้ผู้จัดการของจูอี้หลงซึ่งพยักหน้ารับสั้นๆ

ไม่นานทีมงานของไป๋อวี่ก็กลับมาถึงที่พัก หลังจากที่ผู้จัดการของเขาย้ำถึงสามสี่รอบว่าให้เขาพักผ่อนเร็วๆหลังสั่งอาหารขึ้นมาทานแล้วก็ขอตัวออกไปพัก พร้อมยังไม่วายกำชับให้เขาไม่ต้องใช้เวลากับเสี่ยวหลงนานนักเพราะพรุ่งนี้เขายังมีงานต้องออกเดินทางแต่เช้า

หลังจากนั้นครู่นึงก็มีเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงเรียกของผู้จัดการของหลงเกอไป๋อวี่จึงเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“ผมฝากเสี่ยวหลงไว้กับคุณก่อนนะเสี่ยวไป๋ เสี่ยวหลงเสร็จแล้วยังไงบอกด้วยนะ” ผู้จัดการของเด็กน้อยเอ่ยฝากฝังกับไป๋อวี่สั้นๆ ก่อนหันไปกำชับกับร่างเล็กซึ่งพยักหน้ารับเบาๆ

เสียงปิดประตูลงกลอนช้าๆที่ดังขึ้นทำให้เสี่ยวหลงตัวน้อยถอนหายใจยาว ร่างเล็กออกเดินลึกเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของห้อง รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กชายทำให้ไป๋อวี่ตัดสินใจเอ่ยเรียกออกมาสั้นๆตากความสงสัยที่ติดอยู่ในหัวใจตั้งแต่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรก แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะแปลกประหลาดแค่ไหนก็ตามที

“หลงเกอ?”

“อือ ไม่ได้เจอนานเลยนะ เสี่ยวไป๋”

คำตอบสั้นๆที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากร่างเล็กกว่าทำให้ไป๋อวี่ยิ้มกว้าง ถึงเขาจะประหลาดใจกับสิ่งที่เจอตรงหน้าแค่ไหน แต่ความรู้สึกดีใจที่ได้เจออีกฝ่ายหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน ทำให้เขาเดินเข้าไปหาเด็กชายพลางรั้งร่างนั้นเข้ามากอดแน่นช้าๆ

“นายผอมลงอีกแล้ว กินข้าวครบแน่เหรอ” เสี่ยวหลง ไม่สิ หลงเกอของเขากอดตอบคนตัวโตกว่าแน่นพลางบ่นอีกฝ่ายเบาๆจนไป๋อวี่ต้องเอ่ยประท้วงหงุงหงิง

“เกอเจอผมปุป คำแรกที่เกอพูดคือบ่นผมเหรอ”

เสียงหัวเราะใสๆเบาๆไม่เหมือนที่เคยได้ยินนักทำให้ไป๋อวี่กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในที่สุด ร่างสูงกว่าก็กึ่งลากกึ่งจูงคนตัวเล็กกว่ามานั่งดีๆที่โซฟาใหญ่ในส่วนของนั่งเล่นแล้วตั้งต้นถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่ต้น

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่กลายเป็นเด็กแบบนี้ล่ะ”

“บอกไปนายอาจจะไม่เชื่อก็ได้”

จากการอธิบายคร่าวๆแบบที่ตัดน้ำแล้วเถือเนื้อจนเกือบเหลือแต่กระดูกตามนิสัยของเจ้าตัวที่มักจะไม่พูดสิ่งที่ตนคิดว่าไม่สำคัญมากนัก (แต่มันสำคัญในสายตาคนอื่นนะเกอ) ไป๋อวี่ก็เข้าใจได้ว่า ระหว่างกลับจากถ่ายทำละครเมื่อสองวันก่อน หลงเกอเดินชนผู้หญิงแปลกๆคนหนึ่ง สภาพเธอเหมือนกับแม่หมอ หญิงสาวคนนั้นทักให้หลงเกอพักผ่อนมากกว่าเดิมไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเจอเรื่องไม่ดี แล้วพอหลงเกอตอบรับและขอบคุณอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้ม เธอจึงให้ของบางอย่างกับมือของเขา แล้วบอกว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาสมความปราถนาได้หนึ่งวันแล้วเดินหนีไป พอหลงเกอที่ตั้งสติได้จะหันไปถาม เธอก็หายตัวไปแล้ว

ของที่เธอให้เป็นเหรียญทองแดงเล็กๆที่สลักลวดลายงดงามเอาไว้ หลงเกอที่ไม่ได้ติดใจอะไรมากก็วางทิ้งเอาไว้ในห้อง วันถัดมาซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำก่อนที่จะพักกองประมาณสามวันเพื่อเตรียมการในสถานที่ถัดไปเขาก็กลับมาพักที่ห้อง พอนอนพักสายตาเพราะความเหนื่อยไปได้สักครู่ ตื่นมาอีกทีเขาก็กลายเป็นเด็กไปเสียแล้ว ผู้จัดการที่เข้ามาเห็นนักแสดงที่เขาดูแลกลายเป็นเด็กน้อยพร้อมกับเหรียญทองแดงเจ้าปัญหาที่ส่องแสงวูบวาบก็ช็อกจนแทบจะเสียสติ

“ดูเหมือนเรื่องโกหกใช่ไหมล่ะ ตอนแรกว่าจะกลับไปเฉยๆถ้านายไม่สงสัย แต่ดันทักเนี่ยสิ” คำพูดเชิงบ่นนิดๆอย่างไม่จริงจังนักทำให้ไป๋อวี่พึมพำขมุบขมิบไม่มีเสียงนัก ก่อนคนตัวเล็กจะเอ่ยอธิบายต่อ “แต่ถ้ากลับไปก่อนแล้วไม่อกอะไรก็ถือว่าไม่แฟร์กับนาย เพราะการที่ฉันมาที่นี่ได้ ก็อ้างชื่อนายไปซะครึ่งน่ะนะ”

แล้วผมจะว่าอะไรเกอได้ล่ะ ถ้าเกอพูดแบบนี้

ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลงเกอแทบไม่ได้อะไรเลยจากการมาช่วยกองถ่ายของเขาในครั้งนี้นอกจากค่าตัว เพราะถ้าเขาตัวเล็กลงเพียงวันเดียวอย่างที่ว่ามาจริงๆ การใช้ร่างเด็กมาแสดงในครั้งนี้จะเพิ่มคำถามและข้อสงสัยที่ยุ่งยากกับเจ้าตัวมากกว่าได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ แถมยังให้เครดิตเขาครึ่งนึงในการแก้ปัญหาอีกด้วย ไป๋อวี่จึงได้แต่เอ่ยตอบ

“เกอ เกอไม่ได้ผลดีอะไรเลยจากการมาช่วยผมครั้งนี้นะ มันจะมีแต่ปัญหาตามมาด้วยซ้ำ ผมต่างหากต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเกอ…...เกอใจดีกับผมมากไปแล้วนะ”

พี่ชายคนดีในร่างเล็กๆของเด็กชายยิ้มบางๆเป็นคำตอบพลางยกมือบางๆนั่นตบปุลงบนบ่าของเขาเบาๆเป็นการให้กำลังใจ พลางเอ่ยติดตลก “นายไม่ต้องคิดมาก มันเป็นปัญหาที่ฉันช่วยได้พอดี โชคดีที่อยู่ใกล้ด้วย นายไม่ต้องคิดมากหรอก ตอบคำถามอย่างฉัน เดี่ยวมันก็เงียบ อีกอย่างให้อยู่เฉยๆอย่างเดียวมันก็น่าเบื่อนะ”

ไป๋อวี่รับคำเบาๆ พลางจับจ้องใบหน้าสดใสของอีกฝ่าย แต่ความเหนื่อยบนใบหน้าจากการทำงานนั้นฉายชัดจนเขาตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ผมอยากขอบคุณเกอ เกออยากให้ผมทำอะไรให้ไหม”

เสี่ยวหลงตัวน้อยที่กำลังจะออกปากปฎิเสธคำขอของอีกฝ่ายชะงักไปเมื่อมองตรงไปที่แววตามุ่งมั่นคู่นั้น เด็กชายถอนหายใจเบาๆพลางนึกในใจว่าเขาใจอ่อนกับร่างสูงตรงหน้าอีกแล้ว แทนที่จะเอาเวลาไปเถียงเรื่องที่ไม่มีทางชนะถ้าเขายังตามใจอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆแบบนี้ เขาเก็บพลังงานไปทำอย่างอื่นดีกว่า ร่างเล็กครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ไป๋อวี่นิ่งไปแทน

“งั้นกินข้าวกับเกอมือนึงแล้วกัน”

คำขอสั้นๆพร้อมกับร่างเล็กที่ผละออกไปหาเมนูรูมเซอร์วิสของโรงแรมทำให้คนที่นิ่งค้างไปชั่วครู่อยากจะร้องประท้วง แต่ถ้าลองให้พี่ชายในร่างเด็กชายคนนี้ตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมาแล้ว แย้งไปยังไงก็คงโดนบ่นกลับมาอยู่ดี ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงจังนักเขาอาจจะเถียงชนะบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องอาหารที่อีกฝ่ายมักจัดแจงให้เขาตั้งแต่อยู่กองละครด้วยกัน ไป๋อวี่ก็ปฎิเสธอะไรไม่ได้

อาหารมือนั้นไม่ได้หรูหรา แค่อาหารร้อนง่ายๆสองสามจานที่พวกเขาทานด้วยกันอย่างที่ไป๋อวี่รู้สึกว่ามันเอร็ดอร่อยกว่าทุกวันพวกเขาคุยเรื่องสัพเพเหระ งานบ้าง เรื่องที่เจอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันบ้าง แม้แต่ถกเรื่องการแสดงบ้าง แต่มันเหมือนกับวันวานที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน มีแต่เสียงหัวเราะ คำแนะนำมากมาย และความอบอุ่นห่วงใยที่เหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาเริ่มสนิทกัน

ไม่รู้อีกฝ่ายจะคิดเหมือนเขาไหม แต่ไป๋อวี่อยากให้วันดีๆแบบนี้ยาวนานออกไปอีกนิด





“เกอ ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว” ร่างสูงที่อยู่ในชุดนอนประจำตัวเรียบร้อยก้าวขาออกมาจากห้องน้ำพลางรายงานตัวกับเด็กชายตัวน้อยที่ทั้งบ่น ทั้งขู่ให้เขาเข้าไปอาบน้ำแล้วเตรียมตัวนอนให้เรียบร้อยหลังจากทานอาหารเสร็จ แต่ภาพที่ไป๋อวี่เห็นทำให้เขาถอนหายใจเบาๆพลางเดินเข้าไปใกล้

เสี่ยวหลงตัวน้อยที่นั่งบ่นเขาอยู่เมื่อสักครู่ บัดนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนุ่ม จากท่าทางแล้วเข้าตัวคงตั้งใจเพียงแค่จะงีบเอาแรงเฉยๆ แต่เหมือนกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดจนถึงวันนี้จะส่งผลกับร่างที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันและไม่ได้แข็งแรงมากนักจริงๆ เพราะขนาดเขาพูดดังขนาดนั้นร่างเล็กนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับกายหรือได้สติเลยแม้แต่น้อย

ไป๋อวี่ค่อยเอนตัวลงนอนข้างๆร่างที่หลับสนิทอย่างเงียบเชียบที่สุด พลางเลื่อนผ้าห่มคลุมกายอีกฝ่ายเบาๆ มือหนาของร่างสูงเอื้อมมาลูบเรือนผมปรกใบหน้าของคนตัวเล็กช้าๆอย่างทะนุถนอมและอ่อนโยน โครงหน้าที่แม้จะดูอ่อนเยาว์ลงมาก แต่ก็คงเสน่ห์ของความเป็นจูอี้หลงคนนั้นเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ผิวขาวๆนั่นหมองลงเล็กน้อยเพราะโหมงานหนักมากเกินไปในระยะหลังๆ แต่ผิวนุ่มก็ยังคงนิ่มลื่นมือไม่เปลี่ยนจากที่เขาเคยสัมผัสเท่าใดนัก

ให้พักอีกสักหน่อยแล้วกัน

เมื่อรอบข้างสงบลงและอุ่นพอ ไป๋อวี่ที่ยังคงนอนมองร่างเล็กกว่าก็เริ่มคิดถึงเรื่องเหลือเชื่อที่เขาเพิ่งได้ยิน อย่างจริงจัง จากที่เขาเรียบเรียง แสดงว่าการที่หลงเกอกลายเป็นเด็กแบบนี้ เป็นเพราะเหรียญปริศนาที่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นให้อีกฝ่ายเอาไว้ทำตามความปราถนาบางอย่างของหลงเกอ

ว่าแต่ที่กลายเป็นเด็กแบบนี้ หมายความว่ายังไงล่ะ





แรงสั่นสะเทือนเบาๆในกระเป๋าเสื้อเรียกให้สติที่จมอยู่ในห้วงนิทราของร่างเล็กที่กำลังหลับสนิทกลับมาสู่ความเป็นจริง ความอบอุ่นที่ผิวกายทำให้เด็กชายช้อนตามองเจ้าของห้องที่หลับสนิทกับหมอนหนุนโดยยังพาดแขนโอบตัวเขาอยู่ช้าๆ

หลับสนิทเลย คงจะเหนื่อยมากเหมือนกัน

คนตัวเล็กค่อยๆขยับกายช้าๆไร้ซึ่งสุ้มเสียง ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าก่อนจึงทำให้หลุดจากพันธนาการอุ่นตรงหน้าได้ไม่ยากนัก ร่างเล็กจัดระเบียบทุกอย่างตรงหน้าให้เข้าที่พร้อมรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก ซึ่งหมายความว่าได้เวลาเขาต้องกลับแล้ว

“เกอแค่อยากเจอนาย เสี่ยวไป๋ วันนี้ขอบคุณมากนะ” เสี่ยวหลงตัวน้อยลูบเรือนผมของร่างสูงกว่าของคนเป็นน้องเบาๆอย่างอบอุ่น ก่อนจะผละออกไปโดยไม่ลืมปิดไฟห้องนอนให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่าง

ท่ามกลางความมืด ไป๋อวี่กำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข



--------------------------------------------





//ทำไมตัดจบอีกแล้วววว 555555 บอกแล้วว่าฉากหวานนี่ไม่เชี่ยวชาญจริงๆ เขียนไปแก้ไป เผลอๆบ่นด้วยว่าเมื่อไหร่จะจบ เกริ่นเรื่องยาวมาก รู้ตัวอีกที เกือบสิบหน้า 55555555

//พล็อตมาจากไหน เราแค่อยากเห็นเกออ้อน เห็นเกอเป็นเด็กแล้วให้ไป๋ดูแล แต่เท่าที่เขียน ผิดจากที่ตั้งใจไปเลย 55555 เกอก็ยังคงเป็นเกอ เค้าเปลี่ยนคาแร็กเตอร์เกอในหัวไม่ได้จริงๆ 5555555

//อยากให้อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจเนอะ ถ้าอ่านแล้วยิ้มกว้างๆเราจะดีใจมากเลย ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะค้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น